การตรวจ CT-Scan คืออะไร
การตรวจ CT scan เป็นการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายด้วยรังสีเอกซ์โดยการ ฉายรังสี เอกซ์ผ่านอวัยวะทีต้องการตรวจ แล้วใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลสร้างภาพ ซึงสามารถสร้างได้ทั้งภาพในระนาบต่างๆ หรือจะ แสดงเป็นภาพ 3 มิติ ประเภทต่างๆได้ โดยมีข้อบ่งชี้ ของการตรวจ ดังนี้
1. ตรวจหาเนื้องอกในอวัยวะต่างๆ รวมทั้งตําแหน่งและขนาดของเนื้องอก
2. ตรวจหาการแพร่กระจายของเนื้องอกไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง
3. ตรวจดูการคั่งของเลือดในสมอง ช่องท้อง และอุ้งเชิงกราน
4. ตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดโป่งพอง เส้นเลือดอุดตัน เป็นต้น
5. ตรวจหาความผิดปกติของกระดูก และข้อต่อต่างๆ เช่น การหัก การหลุด และการอักเสบ เป็นต้น
ปัจจุบันการตรวจ CT scan แบ่งเป็น 4 ระบบ ดังนี้
1.ระบบสมอง ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของสมอง ต่อมใต้สมอง ตา ต่อมน้ำลาย และคอ เป็นต้น ใน การตรวจนี้ จะต้องฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดํา เพื่อช่วยให้เห็นพยาธิสภาพของโรคชัดเจนขึ้น
2. ระบบช่องท้องและทรวงอก ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ภายในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน การตรวจ ระบบนี้ เจ้าหน้าที่อาจแนะนําให้ผู้ป่วยดื่มสารทึบรังสี/น้ำเปล่า ในบางกรณีอาจมีการสวนสารทึบรังสี/น้ำเปล่า เข้าทางทวาร หนัก เพื่อแยกลําไส้ออกจากเนื้อเยื่ออื่นๆ และ ในผู้ป่วยหญิงอาจต้องใส่ผ้าอนามัยชนิดสอดภายในช่องคลอด เพื่อแยกช่อง คลอดออกจากเนื้อเยื่ออื่นๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรังสีแพทย์ นอกจากนี้ ยังจําเป็นต้องฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดําเพือช่วยให้เห็นพยาธิสภาพของโรคชัดเจนขึ้น
3. ระบบกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อและกระดูกสันหลังซึ่งมักใช้ในการวินิจฉัยโรคเนื้องอกของกล้ามเนื้อ กระดูก หรือการอักเสบของข้อต่อต่างๆ และลักษณะทางกายวิภาคของกระดูกสันหลัง โดยสามารถให้การวินิจฉัยโรคกระดูกได้ดีกว่า การตรวจเอกซเรย์ทั่วไป
4. ระบบหลอดเลือด ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือด แดงใหญ่ หลอดเลือดแดงของไต และหลอดเลือดแดงที่ขา เป็นต้น ในการตรวจนี้จําเป็นต้องฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดํา
ก่อนรับการตรวจ CT scan ผู้ป่วยจะได้รับการแนะนําให้เตรียมตัว ดังนี้
1.งดอาหารอย่างน้อย 4 -6 ชัวโมงก่อนการตรวจ(ดื่มน้ำเปล่าได้)
2.ลงชื่อในใบยินยอมให้แพทย์ทําการตรวจและฉีดสารทึบรังสี
3.ในผู้ป่วยเด็กทีไม่สามารถอยู่นิ่งๆได้ แพทย์อาจจําเป็นต้องให้ยาระงับความรู้สึกหรือดมยาสลบขณะตรวจ เพื่อผล การตรวจวินิจฉัยโรคถูกต้องยิงขึ้น
4.ผู้ที่มีโรคประจําตัว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ โรคไต โรคหัวใจและโรคเบาหวาน ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที ในวันตรวจ ควรมีญาติมาด้วยอย่างน้อย 1 คน
5.เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องตรวจเตรียมไว้ให้ และถอดเครื่องประดับออกจากบริเวณทีต้องการตรวจ
6.ในกรณีที่ผู้ป่วยตรวจภายในช่องท้อง อาจจําเป็นต้องดื่มสารทึบรังสีหรือน้ำเปล่าทีเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ ประมาณ 1 ลิตร ก่อนเข้าห้องตรวจ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการตรวจ
7.สตรีที่สงสัยว่าจะตั้งครรภ์ ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนเข้ารับการตรวจ เนื่องจากการตรวจทางรังสีมีผลกระทบ ต่อทารกในครรภ์
ขั้นตอนขณะรับการตรวจ
1.เจ้าหน้าที่จะเรียกชื่อ-นามสกุลผู้ป่วยให้เข้าห้องตรวจตามลําดับความพร้อมตรวจในแต่ละประเภทการตรวจและ จัดท่าของผู้ป่วยให้เหมาะสมกับประเภทการตรวจ ในกรณีที่ผู้ป่วยทําการตรวจช่องท้องส่วนล่าง จะได้รับการสวนสารทึบรังสี เข้าทางทวารหนักประมาณ 300 ซีซี.
2.เจ้าหน้าที่/นักรังสีเทคนิค จะทําการซักประวัติผู้ป่วยซ้ำและให้คําแนะนําการปฏิบัติตัวขณะตรวจ รวมถึงชี้แจงข้อมูลที่ผู้ป่วยจําเป็นต้องทราบเกี่ยวกับการตรวจ เช่น ผลของสารทึบรังสีทีฉีดเข้าทางหลอดเลือด ความรู้สึกที่อาจเกิดขึ้นขณะฉีด
3.ในระหว่างตรวจจะได้ยินเสียงดังจากเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผู้ป่วยควรนอนให้นิ่งและปฏิบัติตามคําแนะนํา ของนักรังสีเทคนิคอย่างเคร่งครัด
4.หากมีอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก หายใจลําบาก มีผืนคัน คลื่นไส้อาเจียน ต้องบอกเจ้าหน้าที่หรือพยาบาลให้ ทราบทันที
การปฏิบัติตัวหลังการตรวจ CT scan
1.ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ตามปกติ และควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1-2 ลิตรภายใน 24 ชั่วโมง เพือช่วยขับสารทึบรังสี ออกจากร่างกายโดยเร็ว
2.หลังตรวจ ผู้ป่วยต้องนั่งรอบที่บริเวณที่จัดให้เป็นเวลา 15 นาทีหลังจากฉีดสารทึบรังสี เพือสังเกตอาการถ้ามีอาการ ผิดปกติ
ผลการตรวจ
ผู้ป่วยมาตรวจตามวันที่แพทย์นัดหมายตามคลินิกต่างๆไม่ต้องมารับผลการตรวจที่แผนกเอกซเรย์ โดยผลการตรวจ จะถูกส่งเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจสามารถเรียกดูผลการตรวจและภาพเอกซเรย์ผ่านระบบ คอมพิวเตอร์ที่ห้องตรวจ การรับผลตรวจออกนอกโรงพยาบาลสามารถทําได้โดยการติดต่อที่แผนกเอกซเรย์
ข้อควรระวังของการตรวจด้วยเครื่อง CT scan
1.ผู้ที่มีประวัติโรคภูมิแพ้ หอบหืด มีประวัติผื่นขึ้นภายหลังรับประทานอาหารทะเล หรือมีอาการแน่น หายใจไม่ออก และผู้ทีมีประวัติแพ้สารทึบรังสี ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่/พยาบาลทราบก่อน
2.สตรีทีตั้งครรภ์
3.ผู้ป่วยทีมีปัญหาโรคไต